วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเรียนสัปดาห์ที่2

ผลการเรียนรู้สัปดาห์ที่ 2 และย่อสรุปเนื้อหาบทที่ 3 - 6



บทที่ 3
การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อตอบสนองความต้องการภาครัฐและเอกชน

การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในงานด้านต่าง ๆ มีดังนี้



- ด้านการวางแผน เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานขององค์กร


- ด้านการตัดสินใจ เป็นการนำสารสนเทศไปใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา



- ด้านการดำเนินงาน เป็นการนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงาน ช่วยผู้บริหารในการควบคุมและติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร

ระดับการบริหารงานในองค์กร มีดังนี้

- ผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ ประธานกรรมการ ผู้จัดการ กรรมการบริหาร ซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบายและวางแผนระยะยาว กำหนดทิศทาง เป้าหมายกลยุทธ์ขององค์กร เป็นการตัดสินใจแบบไม่การวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับอนาคตซึ่งไม่แน่นอน เกี่ยวข้องกับปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง เกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมายขององค์กรและการวางแผนระยะยาว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด การตัดสินใจในระดับนี้ไม่สามารถกำหนดขั้นตอนของการตัดสินใจไว้ก่อนล่วงหน้าได้ เป็นการตัดสินใจที่ไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้า



- ผู้บริหารระดับกลาง ได้แก่ ผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ รับนโยบายและแผนระยะยาวที่ผู้บริหารระดับสูงได้วางไว้นำมาดำเนินการและวางแผนระยะสั้น เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลางเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของผู้บริหารระดับสูงจะเกี่ยวข้องกับปัญหาแบบกึ่งโครงสร้าง ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่มีโครงสร้าง บางส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ไม่มีโครงสร้าง การตัดสินใจจะมีข้อมูลหรือหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจเพียงบางส่วน ที่เหลือต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้บริหาร


- ผู้บริหารระดับต้นหรือระดับปฏิบัติการ ได้แก่ หัวหน้างาน หัวหน้าฝ่าย หัวหน้าแผนก มีหน้าที่ ปฏิบัติตามแผนหรือนโยบาย ควบคุมดูแลและแก้ปัญหาการปฏิบัติงาน เป็นการตัดสินใจที่มีผลต่อการปฏิบัติงานและกิจกรรมต่าง ๆ จะเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในแต่ละวัน การปฏิบัติงานเฉพาะด้านเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจระดับนี้เป็นการตัดสินใจระดับขั้นพื้นฐานเกี่ยวข้องกับงานประจำ เกี่ยวข้องกับปัญหาแบบมีโครงสร้างเป็นการตัดสินใจแบบที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า



ระบบสารสนเทศสำหรับองค์กร

ระบบสารสนเทศประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อย ๆ ที่สัมพันธ์กันดังนี้

- ระบบประมวลผลรายการ ( Transaction Processing Systems : TPS ) TPS เป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการผลิตสารสนเทศซึ่งจัดการเกี่ยวกับรายการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดย TPS โดยจะทำการประมวลผลข้อมูลกับงานเฉพาะส่วนขององค์กรมีการเก็บข้อมูลและทำการประมวลผลแยกกัน เป็นระบบที่เกิดขึ้นในระดับผู้ปฏิบัติการระบบสารสนเทศที่ได้จะสร้างเป็นรายงานตามต้องการของผู้บริหาร



- ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ( Management Information Systems : MIS ) MIS เป็นระบบที่ผลิตสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงาน การจัดการและการตัดสินใจ MIS จะต้องมีการสร้างฐานข้อมูลจากหลาย ๆ ฝ่ายร่วมกัน จุดเน้นของ MIS คือ เป็นการนำสารสนเทศที่เตรียมได้จาก TPS มาทำเป็นรายงานสรุปหรือรายงานพิเศษให้กับผู้บริหารเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนและช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ


- ระบบสารสนเทศสำนักงาน ( Office Information Systems : OIS ) OIS เกี่ยวข้องกับระบบการจัดเอกสาร ระบบการจัดการข่าวสาร การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กร ระบบประชุมทางไกลและระบบสนับสนุนสำนักงาน - ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ( Decision Support Systems : DSS ) DSS คือ ระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นสำหรับช่วยให้ผู้บริหารพิจารณาว่าจะตัดสินใจในเรื่องหนึ่ง ๆ อย่างไรดี DSS พัฒนามาจากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการโดยเพิ่มตัวแบบไว้ในระบบ


- ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง ( Executive Support Systems : ESS ) ESS เป็นระบบที่ออกแบบสำหรับให้ผู้บริหารระดับสูงใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นระบบที่เข้าใจง่ายและสามารถใช้งานได้ง่าย




บทที่ 4
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม การเมืองและเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

1. เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าอย่างกว้างขวางในทุกสาขาอาชีพสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

2. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ต่าง ๆ มีราคาถูกลงแต่มีความสามารถเพิ่มขึ้น

4. เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาททางด้านธุรกิจอย่างมาก ทุกธุรกิจมีการลงทุนขยายขอบเขตการให้บริการโดยใช้ระบบสารสนเทศกันมากขึ้น


เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม

ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมในแง่บวก มีดังนี้

1. ผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในสังคม
2. ช่วยพัฒนาระบบการทำงนให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้องและประหยัดค่าใช้จ่าย
3. ช่วยทำให้เกิดระบบการทำงานร่วมกันได้ทุกที่ ทุกเวลา
4. มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยส่งเสริมสุขภาพ ความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ช่วยในด้านการแพทย์ให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

5. ช่วยพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนและการศึกษาด้วยตนเอง


ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมในแง่ลบ มีดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มีผลกระทบทางด้านพื้นฐานของโครงสร้างทางสังคมทำให้เกิดความขัดแย้งทางแนวความคิดเก่ากับแนวความคิดใหม่ เกิดความรู้สึกต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

2. มีการก่ออาชญากรรมทางด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น มีการละเมิดลิขสิทธิ์มกขึ้น ผู้คนบนโลกไซเบอร์ขาดคุณธรรมและจริยธรรมมากขึ้น และความมีน้ำใจของผู้คนก็อาจลดลงในขณะที่ความเห็นแก่ตัวมีมากขึ้น

3. อัตราการจ้างงานลดลง เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีจึงมีการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานคน


เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง

เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาทางด้านการเมือง เช่น การเตรียมข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเมืองต่าง ๆ แนวความคิด พรรคการเมือง การหาเสียงเพื่อสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้น


พื้นฐานของระบบเศรษฐกิจหรือระบบสังคมมีองค์ความรู้ประกอบ 3 ประการ คือ
1.ศักยภาพการแข่งขัน
2.เทคโนโลยีสารสนเทศ
3.ทรัพยากรมนุษย์

กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ

1. การวิเคราะห์กลยุทธ์
1.1 การวิเคราะห์กลยุทธ์ คือ กระบวนการวิเคราะห์ SWOT ( SWOT Analysis ) ซึ่งในการวิเคราะห์แบ่งเป็นองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ

- จุดแข็ง ( Strength ) คือ ปัจจัยภายในที่เสริมให้องค์กรเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันและการดำเนินการทางธุรกิจ ซึ่งองค์กรสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

- จุดอ่อน ( Weakness ) คือ ปัจจัยภายใยที่เป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินงานซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วทราบว่าอะไรคือจุดอ่อนหรือข้อเสียเปรียบที่ต้องปรับปรุงหรือหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดข้อจำกัดในการดำเนินงานซึ่งองค์กรไม่สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงาน เป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้

1.2 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก ( Externel Analysis ) คือ การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่เป็นโอกาสหรืออุปสรรคต่อการดำเนินงาน

- โอกาส ( Opportunities ) คือ ปัจจัยสนับสนุนที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการดำเนินงาน เป็นสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กร

- อุปสรรค ( Threats ) คือ ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่ขัดขวางการทำงานขององค์กรไม่ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดข้อจำกัดในการดำเนินงานและเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้

2. การจัดทำกลยุทธ์ เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 จากการประเมินตนเองมาจัดทำกลยุทธ์ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน โดยองค์กรจะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย

3. การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ เน้นการประเมินโดยมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันที่รุนแรงและเผชิญกับอุปสรรคมากมาย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม


เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มีดังต่อไปนี้

- เพิ่มปริมาณการขาย

- การลดต้นทุนการผลิต

- การเพิ่มผลผลิต

- การเพิ่มคุณภาพของสินค้าบริการ

- เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างแรงผลักดันที่มีต่อองค์กร ดังนี้
- ด้านเทคโนโลยี
- บทบาทของบุคคล
- โครงสร้าง
- กระบวนการจัดการ
- กลยุทธ์


ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

- การสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศเสียค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้เวลา

- การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง

- การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศมีการเสี่ยง



ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อองค์กร

ความล้มเหลวขององค์กรอาจเกิดจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีทำให้สินค้าล้าสมัยเร็ว ปัญหาด้านการเงินแต่ถ้าองค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีก็อาจสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ


การบริหารการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสมัยใหม่

ปัจจุบันโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในการพัฒนาองค์สามารถทำได้หลายระดับและหลายรูปแบบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้ก้าวทันไปกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปและในขณะเดียวกันผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ เพราะถ้าผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์จะทำให้การนำเทคโนโลยีไปใช้ไม่คุ้มค่าหรืออาจไม่มีประสิทธิภาพ



บทที่ 5
ความรู้พื้นฐานของนวัตกรรมการศึกษา
“นวัตกรรม” ในเชิงเศรษฐศาสตร์ คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ “การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ( Change ) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส ( Opportunity ) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม”



นวัตกรรมทางการศึกษา “นวัตกรรม” การศึกษา ( Educational Innovation ) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน


ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท

- นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร

- นวัตกรรมการเรียนการสอน

- นวัตกรรมสื่อการสอน

- นวัตกรรมการประเมินผล

- นวัตกรรมการบริหารจัดการ



ขอบข่ายของนวัตกรรมการศึกษา มีรายละเอียดดังนี้

- การจัดการเรื่องการสอนด้วยวิธีการใหม่ ๆ

- เทคนิควิธีการสอนแบบต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน

- การพัฒนาสื่อใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน

- การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาปรับใช้ในระบบการเรียนการสอนในระบบทางไกล และการเรียนด้วยตัวเอง

- วิธีกรออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ

- การจัดการด้านการด้านการวัดผลแบบใหม่ แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมการศึกษา

- ความแตกต่างระหว่างบุคคล

- ความพร้อม

- การใช้เวลาเพื่อการศึกษา

- ประสิทธิภาพในการเรียน



การสร้างนวัตกรรมการศึกษา

องค์ประกอบของการบริหารจัดการนวัตกรรมทางการศึกษา มีอยู่หลายประการที่สำคัญ คือ

- โครงสร้างองค์กร

- บุคลากร

- กระบวนการ
- กลยุทธ์และยุทธวิธี

- เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศ


ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา มีอยู่ 3 ระดับ คือ

1. ความเป็นเลิศของบุคคล

2. ความเป็นเลิศของทีมงาน

3. ความเป็นเลิศขององค์กร


หลักการของนวัตกรรมการศึกษา มีหลักการอยู่ 5 ประการ ดังนี้

1. นวัตกรรมเป็นเรื่องความคิด

2. นวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

3. ประสิทธิภาพของนวัตกรรมสามารถเพิ่มราคาได้
4. ผู้บริหารสูงสุดต้องนำและมีความรับผิดชอบต่อนวัตกรรม
5. ผู้บริหารสูงสุดต้องผูกพันและแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น

แนวโน้มของนวัตกรรมและการใช้นวัตกรรมใหม่ในองค์กร

1. การสร้างวัตกรรมในองค์กร

- กล่องความคิด

- ทุนทางสติปัญญา

- การบริหารทางนวัตกรรม

2. การใช้นวัตกรรมใหม่ในองค์กรมีการบริหารงานด้วยการจัดการนวัตกรรมขึ้นอยู่กับ องค์กรมีผู้นำที่ดีมีวิสัยทัศน์กว้างไกล และเข้าถึงการทำงานในทุก ๆ ระดับ มีระบบการจัดการที่เป็นระบบ ช่องว่างของการจัดการนวัตกรรม ที่เกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ระบบ และขั้นตอนภายในองค์กร ความสำคัญในการปิดช่องว่างจำเป็นที่ต้องวิเคราะห์ถึงกระบวนการจัดการธุรกิจที่มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โครงสร้างขององค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องการปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นมีผลต่อการสร้างดุลยภาพ ณ จุดตัด อันมีผลทำให้มีการขับเคลื่อน ในเชิงพาณิชย์การจัดการ และการมองหาโอกาสการเติบทางธุรกิจต่อไป แนวโน้มการสร้างและการใช้นวัตกรรมเริ่มจากการพัฒนาคนในองค์กร โดยการสร้างแนวคิด สติปัญญา และส่งเสริมสนับสนุนด้วยการจัดโครงสร้าง และออกแบบองค์กรให้สอดคล้องต่อการสร้างและพัฒนานวัตกรรมให้เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ในระดับบุคคล ระดับทีมและระดับองค์กร โดยอาจจะเริ่มจากการจุดประกายให้คนในองค์กรเริ่มคิด “เริ่มจินตนาการ” ซึ่งเป็นรากฐานที่นวัตกรรมในอนาคต ล้วนเป็นไปเพื่อให้องค์กรก้าวทันการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต และดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมแห่งฐานความรู้





บทที่ 6

การประยุกต์ใช้นวัตกรรมทางการศึกษา
การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์
การจัดระบบการเรียนการสอนออนไลน์ในปัจจุบัน ได้ก้าวเข้าสู่การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการนำเสนอ โดยมีรูปแบบการนำเสนอผลงานแบ่งได้ 2 รูปแบบใหญ่ ๆ ได้แก่ การนำเสนอในลักษณะการจัดการเรียนการสอนบนเว็บ ( Wed Based Learning ) และการนำเสนอบทเรียนในลักษณะบทเรียนออนไลน์ ( e-Learning )

1. ความหมายของการเรียนการสอนบนเว็บ การจัดการเรียนการสอนบนเว็บ ( Wed Based Learning : WBL ) หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนที่อาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต โดยมีการใช้โปรโตคอล ( Protocol ) ของอินเทอร์เน็ต เป็นโปรโตคอลหลักในการถ่ายโอนข้อมูล เป็นรูปแบบการประยุกต์ใช้คุณสมบัติ ไฮเปอร์มีเดีย ( Hyper media) เข้ากับคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนในมิติที่ไม่มีขอบเขตจำกัดด้วยระยะทาง และเวลาที่แตกต่างกันของผู้เรียน ( Learning without Boundary ) อันจะช่วยขจัดปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับการศึกษาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

2. คุณสมบัติของการเรียนการสอนบนเว็บ การเรียนการสอนบนเว็บเป็นการผนวกคุณสมบัติไฮเปอร์มีเดีย ( Hyper media ) เข้ากับคุณสมบัติของเครือข่าย เวิลด์ ไวด์ เว็บ เพื่อสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนในมิติที่ไม่มีขอบเขตจำกัดด้วยระยะทางและเวลาที่แตกต่างกันของผู้เรียน การใช้คุณสมบัติของไฮเปอร์มีเดียในการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายนั้น หมายถึง การสนับสนุนศักยภาพการเรียนด้วยตนเองตามลำพัง ( One Alone ) กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเลือกสรรเนื้อหาบทเรียนที่นำเสนออยู่ในรูปแบบไฮเปอร์มีเดีย ซึ่งเป็นเทคนิคการเชื่อมโยงเนื้อหาหลัก ด้วยเนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องรูปแบบการเชื่อมโยงนี้เป็นได้ทั้งการเชื่อมโยงข้อความไปสู่เนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องหรือสื่อภาพและเสียง การเชื่อมโยงดังกล่าวจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนด้วยตนเอง

บทเรียนออนไลน์
บทเรียนออนไลน์ หรือบางคนเรียกว่า e-Learning เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในลักษณะหรือรูปแบบที่มีการถ่ายทอดเนื้อหาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม ( Satellite ) ฯลฯ เป็นต้น
1. ความหมายของบทเรียนออนไลน์ แบ่งตามความหมายทั่วไปและความหมายเจาะจง คือ
- ความหมายโดยทั่ว ๆ ไป กล่าวว่า คำว่าบทเรียนออนไลน์จะครอบคลุมความหมายที่กว้างขวางมาก หมายถึง การเรียนในลักษณะใดก็ได้ ซึ่งใช้การถ่ายทอดเนื้อหาผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือสัญญาณดาวเทียม ( Satellite )
- ความหมายเฉพาะเจาะจง หมายถึง การเรียนเนื้อหาหรือสารสนเทศสำหรับการสอน หรือการอบรม ซึ่งใช้ในการนำเสนอด้วยตัวอักษร ภาพนิ่ง ผสมผสานกับการใช้ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์ และเสียง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บ ( Web Technology ) ในการถ่ายทอดเนื้อหารวมทั้งการใช้เทคโนโลยีจากระบบการจัดคอร์ส ( Course Management System ) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่าง ๆ

2. ลักษณะของบทเรียนออนไลน์ เป็นการศึกษาที่เรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้สองประการ ได้แก่ การเรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียนเอง และการตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล

โมบายเลิร์นนิ่ง ( Mobile-Learning )
โมบายเลิร์นนิ่ง เป็นการพัฒนาอีกขั้นของ e-Learning คือ เทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย m-Learning คือ การศึกษาทางไกลผ่านทางอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบไร้สายต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ PDA และ laptop computer โดยมี Application ที่สำคัญต่าง ๆ เช่น มีเดียบอร์ด ( MediaBoards ) เป็นการเรียนรู้ผ่านระบบเอ็มเลิร์นนิ่งโดยเน้นที่การทำกิจกรรมเป็นกลุ่มเพื่อส่งและรับข้อมูลแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นและครูผู้สอน โดยสามารถส่งข้อมูลที่เป็นภาพ เสียง มัลติมีเดีย เว็บไซด์ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือที่เรียกว่า Problem-Based learning ได้เป็นอย่างดี

สวนดุสิตอินเทอร์เน็ตบรอดคาสติ้ง ( Suan Dusit Internet Broadcasting : SDIB ) มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตได้มีการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของประเทศไทย ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ชื่อว่า สวนดุสิตอินเทอร์เน็ตบรอดคาสติ้ง ( Suan Dusit Internet Broadcasting : SDIB ) หรืออาจจะเรียกว่า “เอสดิ๊บ” ( SDIB ) ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย บริการเผยแพร่ความรู้ และบริการวิชาการสู่สังคมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อการขยายช่องทางการสื่อสารผ่านทางเว็บไซด์ของมหาวิทยาลัย ภายใต้กรอบการจัดรายการผ่านเว็บไซด์คล้ายกับ “สถานีโทรทัศน์” เพื่อให้นักศึกษาและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมและค้นคว้าหาความรู้ทางวิชาการจากทางมหาวิทยาลัยได้

ห้องสมุดเสมือน ( Virtual Library )
1. ความหมายของห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดเสมือน คือ การทำงานของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีโทรคมนาคมผสมผสานกับการจัดการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งข้อมูลในห้องสมุด และข้อมูลจากแหล่งความรู้อื่น ๆ เป็นเสมือนประตูที่เปิดสู่ห้องสมุดหลายแห่งทั่วโลก

2. ความเป็นมาของห้องสมุดเสมือน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดการผลิตสารสนเทศต่าง ๆ เกิดขึ้นมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณของทรัพยากรสารสนเทศมีมากเกินกำลังที่ห้องสมุดจะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนองตอบความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

3. ระดับของห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดเสมือนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. ผู้ใช้เข้าถึงห้องสมุดโดยทางอิเล็กทรอนิกส์
2. ผู้ใช้เข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์ และมีการนำส่งเอกสารที่เป็น สิ่งพิมพ์ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ทางโทรสาร หรือทางไปรษณีย์
3. ผู้ใช้เข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์โดยทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นระบบห้องสมุดที่ปราศจากหนังสือ โดยผู้ใช้จะทำการสืบค้นรายการสารสนเทศที่ต้องการผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และทางห้องสมุดจะจัดส่งเอกสารให้แก่ผู้ใช้ผ่านทางระบบเครือข่าย

4. คุณลักษณะของห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดเสมือนมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. Public Access Information คือ การเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
2. Electronic Image Document คือ ทรัพยากรสารสนเทศในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำสำเนาได้ในปริมาณมากเท่าที่ต้องการ
3. Open Network Delivery คือ ความสามารถในการขนถ่ายทรัพยากรสารสนเทศ โดยเชื่อมโยงต่อด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
4. Intellectual Property Management คือ การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงลิขสิทธิ์ของทรัพยากรสารสนเทศที่นำมาให้บริการ

5. ทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดเสมือน เนื่องจากสิ่งพิมพ์ของห้องสมุดมีจำนวนมาก ห้องสมุดไม่สามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่ให้เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้งหมด จึงจัดเอกสารในรูปอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้
1. ฐานข้อมูลซีดี-รอม เป็นทางออกหนึ่งของห้องสมุดที่หามาจัดเก็บในฐานข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้ได้สืบค้นและได้เอกสารฉบับเต็ม
2. ฐานข้อมูลออนไลน์หรือฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ที่ห้องสมุดบอกรับเป็นสมาชิก เพื่อให้บริการข้อมูลเอกสารฉบับเต็มในสาขาวิชาต่าง ๆ
3. การพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการสร้างเอกสารอิเล็กทรอนิกส์วิธีหนึ่งและเป็นการสร้างจากต้นฉบับของเอกสาร
สรุปเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์สืบค้นสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ประโยชน์ในการสอน การทำผลงานทางวิชาการและการวิจัยของคณาจารย์และเพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองให้กับนักศึกษาในการเข้าใช้ห้องสมุดเสมือนสืบค้นฐานข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการเรียน การทำรายงานและการจัดทำภาคนิพนธ์วิทยานิพนธ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น